เมนู

ไม่เป็นทั้งพระสาวกก็มี เช่นพวกเดียรถีย์เป็นอันมาก. เป็นทั้งพระ
อริยะ. เป็นทั้งพระสาวกก็มี เช่นพระสมณะศากบุตร ผู้บรรลุผล
รู้แจ้งคำสั่งสอนแล้ว. แต่ในที่นี้จะเป็นคฤหัสถ์ หรือบรรพชิตก็ตาม
คนใดคนหนึ่ง ผู้สมบูรณ์ด้วยการศึกษา ด้วยอำนาจแห่งเนื้อความ
ที่กล่าวไว้แล้ว พึงทราบว่า ผู้นี้เป็นพระอริยสาวก ในบทว่า สุตวา นี้.
บทว่า ยถาภูตํ ปชานาติ พระอริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อม
รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ภวังคจิตนี้ หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลส
ทั้งหลาย อันจรมาด้วยอาการอย่างนี้ เศร้าหมองแล้วด้วยอาการ
อย่างนี้. บทว่า จิตฺตภาวนา อตฺถิ ความว่า ความตั้งมั่นแห่งจิต
ความกำหนดจิตมีอยู่ ด้วยภาวะที่จิตมีอยู่นั่นเอง ทรงแสดงว่ามีอยู่.
ในสูตรนี้ ท่านกล่าวถึงวิปัสสนาที่แก่กล้า. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
เป็นวิปัสสนาที่ยังอ่อนกำลัง.

จบ อรรถกถาสูตรที่ 2

อรรถกถาสูตรที่ 3



สูตรที่ 3

กล่าวไว้แล้วในเหตุเกิดเรื่อง. กล่าวไว้ในเหตุเกิด
เรื่องไหน ? ในเหตุเกิดเรื่อง อัคคิขันโธปมสูตร.
ได้ยินว่า สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า อาศัยประทับอยู่ ณะ
เชตวันมพาวิหาร กรุงสาวัตถี. จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรง
อาศัยอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ก็มิได้ทรงละกิจ 5 อย่างเลย

ชื่อว่า พุทธกิจ 5 อย่าง คือ ปุเรภัตตกิจ 1 ปัจฉาภัตตกิจ 1
ปุริมยามกิจ 1 มัชฌิมยามกิจ 1 ปัจฉิมยามกิจ 1


ในพุทธกิจ 5 นั้น ปุเรภัตตกิจ กิจก่อนเสวยอาหารมีดังต่อไปนี้
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จลุกขึ้นแต่เช้า ทรงการทำปริกรรม
พระสรีระ มีล้างพระพักตร์เป็นต้น เพื่ออนุเคราะห์อุปัฏฐาก และ
เพื่อความผาสุกแห่งพระสรีระ ทรงยับยั้งอยู่เหนืออาสนะอันสงัด
จนถึงเวลาภิกขาจาร พอได้เวลาภิกขาจาร ก็ทรงนุ่งอันตรวาสก
ทรงคาดประคดเอว ห่มจีวร ถือบาตร บางครั้งก็พระองค์เดียว
บางครั้งก็แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังบ้าน
หรือนิคม. บางคราวเสด็จเข้าไปตามปกติ บางคราวเสด็จไปด้วย
ปาฏิหาริย์เป็นอันมาก. คือเมื่อพระโลกนาถเสด็จเที่ยวบิณฑบาต
ลมอ่อน ๆ ก็พัดไปข้างหน้าเป่าแผ่นดินให้สะอาด เมฆหลั่งเมล็ดฝน
ดับฝุ่นละอองบนหนทาง กางกั้นเป็นเพดานอยู่เบื้องบน. ลมอีก
พวกหนึ่งก็นำดอกไม้เข้าไปโปรยลงบนหนทาง ภูมิประเทศที่ดอน
ก็ยุบลง. ภูมิประเทศที่ลุ่มก็หนุนตัวขึ้น เวลาที่ทรงย่างพระบาท
ภูมิภาคย่อมมีพื้นราบเรียบ หรือดอกปทุมมีสัมผัสอันอ่อนละมุน คอย
รับพระบาท. เมื่อพอทรงวางพระบาทเบื้องขวา ไว้ในภายในเสา
เขื่อน. ฉัพพัณณรังสี พระรัศมีมีพรรณ 2 ประการ เปล่งออกจาก
พระสรีระพวยพุ่งไปรอบด้าน กระทำปราสาทและเรือนยอดเป็นต้น
ให้เป็นดุจสีเหลืองเหมือนทองคำ และให้เป็นดุจแวดวงด้วยผ้าอัน
วิจิตร. สัตว์ทั้งหลายมีช้างม้าและนกเป็นต้น ที่อยู่ในที่ของตน ๆ
ก็เปล่งเสียงไพเราะ. ดนตรีมีกองและบัณเฑาะว์ เป็นต้น กับ

เครื่องอาภรณ์ที่สรวมใส่อยู่ในกายของพวกมนุษย์ ก็เหมือนกัน คือ
เปล่งเสียงไพเราะ ด้วยสัญญาณนั้น พวกมนุษย์ย่อมรู้ว่าวันนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตในที่นี้. มนุษย์เหล่านั้นนุ่งห่ม
เรียบร้อย ถือเครื่องสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ออกจาก
เรือนดำเนินไปตามท้องถนน บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยของหอม
และดอกไม้เป็นต้นโดยเคารพถวายบังคมแล้ว ทูลขอว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์โปรดประทานภิกษุแก่พวกข้าพระองค์
10 รูป แก่พวกข้าพระองค์ 20 รูป แก่พวกข้าพระองค์ 100 รูป
แล้วรับบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า อาสนะน้อมถวายบิณฑบาต
โดยเคารพ. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว
ทรงตรวจดูสันดานของมนุษย์เหล่านั้นแล้วทรงแสดงธรรม. บางพวก
จะตั้งอยู่ในสรณคมน์ บางพวกจะตั้งอยู่ในศีล 5 บางพวกจะตั้งอยู่
ในโสดาปัตติผล สกทาคามิผล และอนาคามิผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
บางพวกจะบวชแล้ว ดำรงอยู่ในพระอรหัตอันเป็นผลเลิศ ด้วย
ประการใด ก็ทรงอนุเคราะห์มหาชนด้วยประการนั้น เสด็จลุกจาก
อาสนะ เสด็จกลับไปพระวิหาร. เสด็จไปที่พระวิหารนั้นแล้วประทับ
นั่ง บนบวรพุทธอาสน์ที่เขาตกแต่งไว้ ณะศาลากลมประกอบด้วย
ของหอม. ในเวลาเสร็จภัตตกิจของภิกษุทั้งหลาย อุปัฏฐากก็จะ
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ทรงทราบ. ต่อนั้น พระผู้มีพระภาค
เจ้า จึงจะเสด็จเข้าพระคันธกุฏี ปุเรภัตตกิจ กิจก่อนเสวยอาหาร
มีเท่านี้ก่อน.
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำกิจก่อนเสวยอาหารอย่างนี้
แล้ว ก็ประทับนั่งที่หน้ามุขพระคันธกุฏี ทรงล้างพระบาท

ทรงโอวาทภิกษุสงฆ์ว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงยังกิจให้ถึงพร้อม
ด้วยความไม่ประมาทเถิด การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าหาได้ยาก
กาลได้อัตภาพเป็นมนุษย์หาได้ยาก การถึงพร้อมด้วยศรัทธาหา
ได้ยาก การบรรพชาหาได้ยาก การฟังธรรมหาได้ยากในโลก
บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางรูปทูลถามกรรมฐาน กะพระผู้มี
พระภาคเจ้า. พระองค์ก็ประทานกรรมฐาน อันเหมาะแก่ความ
ประพฤติของภิกษุเหล่านั้น แต่นั้นภิกษุแม้ทั้งหมดถวายบังคมพระผู้มี
พระภาคเจ้า แล้วไปยังที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันของตน ๆ.
บางพวกไปป่า บางพวกอยู่โคนไม้ บางพวกไปภูเขาเป็นต้น แห่งใด
แห่งหนึ่ง บางพวกไปภพของท้าวจาตุมหาราช บางพวกไปภพของ
ท้าววสวัสดี. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้าไปยังพระ
คันธกุฏี ถ้าทรงจำนงก็ทรงมีสติ สัมปชัญญะ บรรทมตะแคงขวา
ครู่หนึ่ง ครั้นมีพระวรกายกระปรี้กระเปร่า เสด็จลุกขึ้นตรวจดู
สัตว์โลก ในภาคที่ 2. ในภาคที่ 3 มหาชนในคามหรือนิคม ที่
พระองค์เสด็จเข้าไปอาศัยประทับอยู่ ถวายทานก่อนอาหาร ครั้น
เวลาหลังอาหาร นุ่งห่มเรียบร้อยแล้วถือเอาสักการะมีของหอม
และดอกไม้เป็นต้น ประชุมกันในพระวิหาร. ลำดับนั้นพระผู้มี
พระภาคเจ้า เสด็จไปโดยปาฏิหาริย์อันเหมาะสมแก่บริษัทที่ประชุม
กัน ประทับนั่งแสดงธรรม บนบวรพุทธอาสน์ ที่ตกแต่งไว้ในโรง
ธรรม ให้เหมาะแก่กาล เหมาะแก่สมัย. ครั้นถึงเวลาอันควรแล้ว
จึงส่งบริษัทกลับไป. พวกมนุษย์ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วก็หลีกไป. ปัจฉาภัตตกิจ กิจภายหลังอาหาร มีดังกล่าวนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงทำปัจฉาภัตตกิจให้เสร็จ
อย่างนั้นแล้ว ถ้าทรงประสงค์จะทรงสนานพระกาย ก็เสด็จ
ลุกขึ้นจากพุทธอาสน์ เสด็จเข้าสู่ซุ้มสำหรับสรงสนาน ทรงรด
พระกายด้วยน้ำอันอุปัฏฐากจัดถวาย. แม้พระอุปัฏฐากก็นำเอา
พุทธอาสน์มาลาดถวายในบริเวณพระคันธกุฏี พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงนุ่งอันตรวาสก 2 ชั้น ที่ย้อมดีแล้ว ทรงคาดประคดเอว ทรง
ครองอุตตราสงฆ์แล้วเสด็จมาประทับ ณ พุทธอาสน์นั้น ทรงเร้น
อยู่ครู่หนึ่งลำพังพระองค์ ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายมาจากที่นั้น
ไปยังที่เฝ้าพระศาสดา บรรดาภิกษุเหล่านั้น บางพวกถามปัญหา
บางพวกขอกรรมฐาน บางพวกของธรรม. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงจัดให้สมประสงค์ของภิกษุเหล่านั้น ทรงยับยั้ง แม้ตลอดยามต้น.
ปุริมยามกิจ กิจในยามต้นมีดังกล่าวนี้.
เวลาเสร็จกิจในยามต้น เมื่อภิกษุทั้งหลายถวายบังคมพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหลีกไป เทวดาทั่วหมื่นโลกธาตุ เมื่อได้โอกาส
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถามปัญหา ชั้นที่สุดแม้อักษร
4 ตัวตามที่แต่งมา พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงวิสัชนาปัญหา
แก่เทวดาเหล่านั้น ทรงยับยั้งอยู่ตลอดมัชฌิมยาม มัชฌิมยามกิจ
กิจในมัชฌิมยาม มีดังกล่าวนี้.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแบ่งปัจฉิมยามเป็น 3 ส่วน แล้ว
ทรงยับยั้งส่วนหนึ่งด้วยการเดินจงกรม เพื่อทรงปลดเปลื้องความ
เมื่อยพระวรกายที่ประทับนั่งมาก ตั้งแต่เวลาก่อนเสวยอาหาร ใน

ส่วนที่ 2 เสด็จเข้าไปพระคันธกุฏี ทรงมีพระสติและสัมปชัญญะ
บรรทมตะแคงข้างขวา ในส่วนที่ 3 เสด็จลุกขึ้นประทับนั่ง ตรวจดู
สัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ เพื่อทอดพระเนตรบุคคลผู้ได้กระทำบุญญา-
ธิการไว้ด้วยทาน และศีลเป็นต้น ในสำนักของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ในปางก่อน ปัจฉิมยามกิจ กิจในปัจฉิมยาม มีดังกล่าวนี้.
วันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงดำรงอยู่ในกิจนี้นี่แหละ
ทรงตรวจดูสัตว์โลก ก็ได้ทรงเห็นเหตุนี้ว่า เมื่อเราจาริกไปในมหา-
โกสลรัฐ แสดงสูตรหนึ่งเปรียบเทียบด้วยกองเพลิง ภิกษุ 60 รูป
จักบรรลุพระอรหัต ภิกษุประมาณ 60 รูปจักรากเลือด ภิกษุ
ประมาณ 60 รูปจักสึกเป็นคฤหัสถ์. บรรดาภิกษุเหล่านั้น พวก
ภิกษุผู้จักบรรลุพระอรหัตได้ฟังพระธรรมเทศนาอย่างใดอย่าง
หนึ่ง จักบรรลุได้ทีเดียว. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระประสงค์
จะเสด็จจาริกไปเพื่อสงเคราะห์ภิกษุนอกจากนี้ จึงตรัสว่า อานนท์
เธอจงบอกแก่ภิกษุทั้งหลาย.
พระเถระไปตามบริเวณแล้วกล่าวว่า ผู้มีอายุ พระศาสดา
มีพระประสงค์จะเสด็จจาริก เพื่อเคราะห์มหาชน ผู้ประสงค์
จะไปตามเสด็จ ก็จงพากันมาเถิด. ภิกษุทั้งหลาย มีใจยินดีเหมือน
ได้ลาภใหญ่ คิดว่า เราจักได้ชมพระสรีระมีวรรณเพียงดังทองคำ
ได้ฟังธรรมกถาอันไพเราะ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้แสดงธรรม
แก่มหาชน ผู้ที่มีผมขึ้นยาวก็ปลงผม มีบาตรถูกสนิมจับก็ระบม
บาตร มีจีวรหมอง ก็ซักจีวร ต่างเตรียมจะตามเสด็จ. พระศาสดา
แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ที่กำหนดจำนวนไม่ได้ ออกจาริกไปยัง

โกศลรัฐ วันหนึ่ง ๆ เสด็จจาริกไป 1 คาวุต 2 คาวุต 3 คาวุต และ
โยชน์หนึ่งเป็นอย่างยิ่ง ตามลำดับแห่งคามและนิคม ทอดพระเนตร
เห็นต้นไม้มีโพรงต้นใหญ่แห่งหนึ่ง ถูกไฟไหม้ลุกโพลง ทรงดำริว่า
เราจะทำต้นไม้นี้แล ให้เป็นวัตถุเหตุตั้งเรื่อง แสดงธรรมกถาประคับ
ด้วยองค์ 7 จึงงดการเสด็จ เสด็จเข้าไปยังโคนไม้ต้นหนึ่ง ทรง
แสดงอาการจะประทับนั่ง. พระอานนทเถระทราบพระประสงค์
ของพระศาสดา คิดว่า ชรอยว่าจักมีเหตุแน่นอน พระตถาคตไม่
เสด็จต่อไปแล้วจะหยุดประทับนั่งเสียโดยเหตุอันไม่สมควรหามิได้
จึงปูลาดสังฆาฏิ 4 ชั้น.

พระศาสดา ประทับนั่งแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา
ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูกองไฟใหญ่โน้น แล้วทรงแสดง
อัคคิขันโธปมสูตร. ก็เมื่อตรัสไวยากรณ์นี้อยู่ ภิกษุประมาณ 60
รูปรากเลือด. ภิกษุประมาณ 60 ลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์. ภิกษุ
ประมาณ 60 รูปมีจิตไม่ยึดมั่นก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย. ก็
เพราะได้ฟังไวยากรณ์นั้น นามกายของภิกษุประมาณ 60 รูป
ก็กลัดกลุ้ม เมื่อนามกายกลัดกลุ้ม กรัชกายก็รุ่มร้อน เมื่อกรัชกาย
รุ่มร้อน โลหิตอุ่นที่คั่งก็พุ่งออกจากปาก. ภิกษุ (อีก) ประมาณ 60
รูป คิดว่าการประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ตลอดชีวิต
ในพระพุทธศาสนา ทำได้ยากหนอ แล้วพากันลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์
ภิกษุประมาณ 60 รูป ส่งญาณมุ่งตรงต่อเทศนาของพระศาสดา
ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา. บรรดาภิกษุเหล่านั้น
ภิกษุเหล่าใด รากเลือด ภิกษุเหล่านั้นต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุ

เหล่าใดสึกเป็นคฤหัสถ์ ภิกษุเหล่านั้นพากันย่ำยีสิกขาบทเล็กน้อย.
ภิกษุเหล่าใดบรรลุพระอรหัต ภิกษุเหล่านั้น เป็นผู้มีศีล บริสุทธิ์แล.
พระธรรมเทศนาของพระศาสดา เกิดมีผลแม้แก่ภิกษุ 3 จำพวก
ดังกล่าวนี้.

ถามว่า พระธรรมเทศนาเกิดมีผลแก่ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัต
ยกไว้ก่อน อย่างไรจึงเกิดผลแก่ภิกษุนอกนี้. ? ก็ว่า ก็ภิกษุ
แม้เหล่านั้น ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเทศนากัณฑ์นี้ไซร้ เป็นผู้ประมาท
ไม่พึงอาจละฐานะได้ แต่นั้นบาปของภิกษุเหล่านั้น กำเริบขึ้น จะ
พึงทำเธอให้จมลงในอบายถ่ายเดียว แต่ฟังเทศนากัณฑ์นี้แล้ว เกิด
ความสังเวช ละฐานะ. ตั้งอยู่ในภูมิแห่งสามเณร บำเพ็ญศีล 10
ประกอบขวนขวายในโยนิโสมนสิการ บางพวกเป็นพระโสดาบัน
บางพวกเป็นพระสกทาคามี บางพวกเป็นอนาคามี บางพวกบังเกิด
ในเทวโลก. พระธรรมเทศนาได้มีผลแม้แก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิก
ด้วยอาการอย่างนี้. ฝ่ายภิกษุนอกนี้ ถ้าไม่พึงได้ฟังพระธรรมเทศนา
กัณฑ์นี้ไซร้ เมื่อกาลล่วงไป ๆ ก็จะพึงต้องอาบัติสังฆาฑิเสสบ้าง
ปาราชิกบ้าง ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้แล้ว คิดว่า พระ
พุทธศาสนา ช่างขัดเกลาจริงหนอ พวกเราไม่สามารถจะบำเพ็ญ
ข้อปฏิบัตินี้ตลอดชีวิตได้ จำเราจักลาสิกขา บำเพ็ญอุบาสกธรรม
จักพ้นจากทุกข์ได้ ดังนี้แล้ว จึงพากันสึกไปเป็นคฤหัสถ์. ชนเหล่านั้น
ตั้งอยู่ในสรณะ 3 รักษาศีล 5 บำเพ็ญอุบาสกธรรม บางพวก
เป็นพระโสดาบัน บางพวกเป็นสกทาคามี บางพวกเป็นอนาคามี
บางพวกบังเกิดในเทวโลกแล. พระธรรมเทศนาได้มีผลแม้แก่ภิกษุ

เหล่านั้น ด้วยอาการอย่างนี้. อนึ่งหมู่เทพได้ฟังพระธรรมเทศนา
กัณฑ์นี้แล้ว ได้เที่ยวไปบอกแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ไม่ได้ฟังทุกรูป
ทีเดียว. ภิกษุทั้งหลายฟังแล้วคิดว่า ท่านผู้เจริญ การประพฤติ
พรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ตลอดชีวิต ในพระพุทธศาสนา
ทำได้ยาก. ภิกษุ 10 รูปบ้าง 20 รูปบ้าง 60 รูปบ้าง 100 รูปบ้าง
บอกลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์ไปทันที.
พระศาสดา เสด็จจาริกไปตามพอพระหฤทัย ไม่เสด็จกลับ
ไปพระเชตวันอีก จึงทรงเรียกภิกษุมาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตถาคต
เมื่อเที่ยวจาริกไปอยู่คลุกคลีมานาน ภิกษุทั้งหลายเราปรารถนา
จะเร้นอยู่สักกึ่งเดือน ใคร ๆ ไม่ต้องเข้าไปหาเรา เว้นแต่ภิกษุ
ผู้นำบิณฑบาตรูปเดียวดังนี้ ทรงยับยั้งลำพังพระองค์เดียวกึ่งเดือน
เสด็จออกจากที่เร้น พร้อมด้วยพระอานนทเถระ เสด็จจาริกกลับไป
พระวิหาร ทรงเห็นภิกษุเบาบาง ในที่ ๆ ทรงตรวจดูแล้วตรวจดูอีก
ถึงทรงทราบอยู่ ก็ตรัสถามพระอานนท์เถระว่า อานนท์ ในเวลาอื่น ๆ
เมื่อตถาคตเที่ยวจาริกกลับมายังเชตวัน ทั่ววิหารรุ่งเรื่องไปด้วย
ผ้ากาสาวพัสตร์ คลาคล่ำไปด้วยผู้แสวงคุณ แต่มาบัดนี้ ปรากฏว่า
ภิกษุสงฆ์เบาบางลง และโดยมากภิกษุเกิดโรคผอมเหลืองขึ้น นี่เหตุ
อะไรกันหนอ. พระเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุ
ทั้งหลายเกิดความวังเวชจำเดิมแต่เวลาที่พระองค์แสดงพระธรรม-
เทศนา อัคคิขันโธปมสูตร คิดว่า พวกเรา ไม่สามารถจะปรนนิบัติ
ธรรมนั้น โดยอาการทั้งปวงได้ และการที่ภิกษุผู้ประพฤติไม่ชอบ
บริโภคไทยธรรม ที่เขาให้ด้วยศรัทธาของชน ไม่ควรเลย จึงครุ่น
คิดจะสึกเป็นคฤหัสถ์.

ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเกิดธรรมสังเวช. ลำดับ
นั้น จึงตรัสกะพระเถระว่า เมื่อเรายับยั้งอยู่ในที่หลีกเร้น ใคร ๆ
ไม่บอกฐานะอันเป็นที่เบาใจอย่างหนึ่ง แก่เหล่าบุตรของเราเลย เหตุอัน
เป็นที่เนาใจในศาสนานี้มีมาก เหมือนท่าเป็นที่ลงสู่สาครทะเลฉะนั้น
ไปเถิด อานนท์ จงจัดพุทธอาสน์ ในบริเวณคันธกุฏี จงให้ภิกษุ
สงฆ์ประชุมกัน. พระเถระได้กระทำอย่างนั้น. พระศาสดา เสด็จ
สู่บวรพุทธอาสน์ ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
นั่นเป็นส่วนเบื้องต้นทั้งหมดแห่งเมตตา ไม่ใช่อัปปนา ไม่ใช่อุเบกขา
เป็นเพียงแผ่ประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายเท่านั้น. จึงทรงแสดง
อัจฉราสังฆาตสูตรนี้ เพื่อเป็นอัตถุปปัตติเหตุนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจฺฉราสงฺฆาตมตฺตํ ความว่า
เพียงการดีดนิ้วมือ. อธิบายว่า เพียงเอา 2 นิ้วดีดให้มีเสียง. บทว่า
เมตฺตจิตฺตํ ได้แก่จิตที่คิดแผ่ประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์.
บทว่า อาเสวติ ถามว่า ย่อมเสพอย่างไร ? แก้ว่า นึกถึง
อยู่เสพ เห็นอยู่เสพ พิจารณาอยู่เสพ ประคองความเพียรอยู่เสพ
น้อมใจเชื่อเสพ เข้าไปตั้งสติเสพ ตั้งจิตเสพ รู้ชัดด้วยปัญญาเสพ
รู้ยิ่งสิ่งที่ควรรู้ยิ่งเสพ กำหนดรู้สิ่งที่ควรกำหนดรู้เสพ ละสิ่งที่ควร
ละเสพ เจริญสิ่งที่ควรเจริญเสพ กระทำให้แจ้งสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง
เสพ. แต่ในที่นี้พึงทราบว่า เสพด้วยเหตุสักว่าเป็นไปโดยการแผ่
ประโยชน์เกื้อกูลในส่วนเบื้องต้นแห่งเมตตา.
บทว่า อริตฺตชฺฌาโน ได้แก่ ผู้มีฌานไม่ว่าง หรือไม่ละทิ้ง
ฌาน. บทว่า วิหรติ ความว่า ผลัดเปลี่ยนเป็นไปรักษาเป็นไปเอง

ให้เป็นไป เที่ยวไป อยู่ ด้วยเหตุนั้นท่านจึงเรียกว่า วิหรติ ด้วยบทนี้
ท่านจึงกล่าวการอยู่ด้วยอิริยาบถ ของภิกษุผู้เสพเมตตา.
บทว่า สตฺถุ สาสนกโร ได้แก่ ผู้กระทำตามอนุสาสนี ของ
พระศาสดา บทว่า โอวาทปฏิกโร ได้เก่ผู้กระทำตามโอวาท.
ก็ในเรื่องนี้ การกล่าวคราวเดียว ชื่อว่าโอวาท การกล่าวบ่อย ๆ
ชื่อว่า อนุสาสนี. แม้การกล่าวต่อหน้า ก็ชื่อว่า โอวาท การส่ง
(ข่าว) ไปกล่าวลับหลัง ชื่อว่า อนุสาสนี. การกล่าวในเมื่อเรื่อง
เกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่า โอวาท. ส่วนการกล่าวในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นหรือ
ยังไม่เกิดขึ้น ชื่อว่า อนุสาสนี. พึงทราบความแปลกกันอย่างนี้. แต่
เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ คำว่า โอวาท หรืออนุสาสนีนั้น เป็นอันเดียวกัน
มีอรรถอันเดียวกัน เสมอกัน เข้ากันได้ เกิดร่วมกันนั้นนั่นแล.
ก็ในที่นี้ คำว่าภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุเสพเมตตาจิต แม้เพียงลัดนิ้ว
มือเดียว นี้แล เป็นคำสอนและเป็นโอวาทของพระศาสนา พึงทราบ
ว่า ภิกษุนั้น ชื่อว่า ผู้ทำตามคำสอน และผู้สนองโอวาท เพราะปฏิบัติ
คำสอนและโอวาทนั้น.
บทว่า อโมฆํ แปลว่า ไม่เปล่า. บทว่า รฏฺบฐปิณฺฑํ ความว่า
บิณฑบาต (อาหาร) นั่นแล ท่านเรียกว่า รัฏฐบิณฑะ (ก้อนข้าวของ
ชาวแคว้น) เพราะอาหารนั้น ภิกษุผู้สละเครือญาติ อาศัยชาวแว่น
แคว้น บวชแล้วได้จากเรือนของคนอื่น.
บทว่า ปริภุญฺชติ ความว่า บริโภค มี 4 อย่าง คือ เถยย-
บริโภค อิณบริโภค ทายัชชบริโภค สามิบริโภค. ในบริโภค 4
อย่างนั้น การบริโภคของผู้ทุศีล ชื่อว่า เถยยบริโภค. การบริโภค

ปัจจัยที่ไม่ได้พิจารณาของผู้มีศีล ชื่อว่า อิณบริโภค. การบริโภค
ของพระเสขบุคคล 7 จำพวก ชื่อว่า ทายัชชบริโภค. การบริโภค
ของพระขีณาสพ ชื่อว่า สามิบริโภค. ใน 4 อย่างนั้น การบริโภค
ก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้นนี้ ของภิกษุนี้ ย่อมไม่เสียเปล่าด้วย
เหตุ 2 ประการ. ภิกษุผู้เสพเมตตาจิตแม้เพียงลัดนิ้วมือเดียว ชื่อว่า
เป็นเจ้าของก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้นบริโภค แม้เพราะเหตุนั้นการ
บริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้นของภิกษุนั้น ชื่อว่า ไม่เสียเปล่า.
ทานที่เขาให้แก่ภิกษุผู้เสพเมตตาแม้เพียงลัดนิ้วมือเดียว ย่อมมี
ความสำเร็จมาก มีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรื่องมาก
มีความกว้างขวางมาก เพราะเหตุนั้น การบริโภคข้าวของชาวแคว้น
ของภิกษุนั้น ไม่เป็นโมฆะ ไม่เสียเปล่า บทว่า โก ปน วาโท เย
นํ พหุลีกโรนฺติ
ความว่า ควรกล่าวได้แท้ในข้อนี้ว่า ภิกษุเหล่าใด
ส้องเสพ เจริญให้มาก ทำบ่อย ๆ ซึ่งเมตตาจิตนี้ ภิกษุเหล่านั้น
ย่อมบริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ไม่เสียเปล่า เพราะภิกษุ
เห็นปานนี้ ย่อมเป็นเจ้าของก้อนข้าวชาวแว่นแคว้น ไม่เป็นหนี้ เป็น
ทายาทบริโภค.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 3

อรรถกถาสูตรที่ 4



ในสูตรที่ 4 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ภาเวติ ได้แก่ ให้เกิดขึ้น คือ ให้เจริญ.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 4